Saturday, June 17, 2006

คนมันซวย


วันนี้ตื่นแต่สาย 8:42

ตั้งใจว่าจะส่งงานก่อนเช้า แต่เผลอหลับ

ตั้งใจว่าจะส่งงานก่อนเที่ยง แต่ขี้เกียจ

เลยตั้งใจว่าจะไปโรงเรียนในวันเสาร์ เพื่อทำงานให้เสร็จ

ออกจากบ้านสิบโมง ปรกตินั่งรถไปโรงเรียนด้วยรถไฟใต้ดินหนึ่งชั่วโมง

วันนี้รถไฟใต้ดินเสีย
ไปได้สามป้าย ต้องออกไปต่อรถบัส
ลงจากรถบัสแล้วก็ต้องมานั่งรถไฟใต้ดินต่อ
รวมเวลาร่วม หนึ่งชั่วโมงครึ่ง


หิว ก็หิว กะว่าจะไปหาอะไรกินที่โรงเรียน

ไปถึงโรงเรียน ทุกอย่างปิด ร้านอาหารไม่เปิด

ไปถึงห้อง Lab ห้อง Lab ถูก locked เพราะว่าเป็นวันเสาร์
และห้องทำงานใหม่เป็นห้องเล็กในห้องใหญ่ ห้องใหญ่ Lock ก็เลยเข้าไปห้องทำงานตัวเองไม่ได้

ไปโรงยิม อยากจะออกกำลังสักหน่อย ก่อนกลับ ไหน ๆ ก็มาแล้ว

โรงยิมปิดเพราะพรุ่งนี้เป็นวันพ่อ

กลับบ้าน

รถบัส รถไฟ้ใต้ดิน รถบัส รถไฟใต้ดิน
ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง

ถึงบ้านหิว แต่เพลีย

นอนดีกว่า
ตื่นอีกที

บ่ายสี่ ออกไปกิน Mc

กลับบ้าน

ขี้เกียจ

หกโมงครึ่งไปทำกับข้าว
สักพักก็มีคนมากินด้วยที่บ้าน
ดูหนัง...

แต่ไม่ดูอยากทำงาน

มานั่งโต๊ะทำงาน

ขี้เกียจ

เขียน Blog

ขณะ นี้เวลา 10:31

Thursday, June 15, 2006

จดหมายลูกโซ่


>Copy ไป paste ลงในอีเมลใหม่
>จากนั้นเปลี่ยนคำตอบทั้งหมดให้เป็นคำตอบของตัวเองซะ
>แล้วส่งไปให้กลุ่มคนกลุ่มใหญ่ที่รู้จัก (ก็เพื่อนๆของคุณเองนั่นแหละ)
>รวมทั้งส่งกลับให้คนที่ส่งอีเมลนี้มาให้คุณด้วย เรื่องของเรื่องก็คือ
>คุณจะได้เรียนรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับเพื่อนคุณมากขึ้น หลังจากนี้
>เชื่อเถอะว่าทั้งสนุกและง่าย

1. หนังสือเล่มล่าสุดที่อ่าน
>A Million Little Pieces
> เรื่องจริงของชายติดเหล้า มีสี่ร้อยกว่าหน้าอ่านไปได้หกสิบหน้าแล้ว

2. ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดที่ไปดู ไปดูกับใคร? ที่ไหน?
> หนังเรื่องสุดที่ดูได้จนจบ ชื่อ แฟนฉัน
> นั่งดูกับ พี่ พ และคนอื่น ๆ ที่ Home Theater ส่วนตัว คริ คริ

3.เพลงที่ชอบฟังที่สุด เป็นเพลงอะไร ของใคร
>ตอนนี้ชอบ ไม่อยากนอนคนเดียว ของมาช่า

4. เพลงข้อ 3 ร้องว่าอะไร ขอท่อนเด็ดหน่อยจิ
> อยากได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง
> เสียงลมหายใจใครบางคนที่เคยเข้ามาซุกตัวในผ้าห่มผืนเดียวกัน

5. เพลงที่ฟังแล้วรู้สึกว่าซึ้งที่สุด ทำไมล่ะ
> ยังจำไว้ อิทธิ พลางกูร
> อิทธิตายแล้ว

6. ข้อดีของคุณ
> เป็นคนที่พยายามทำดี

7. แล้วข้อเสียล่ะ
> พยามทำดีแต่ไม่สำเร็จ

8. แล้วมองคนอื่นยังไง
> ใช้สายตามอง บวกทัศนะคติส่วนตัวนิดหน่อย

9. wallpaper ที่คอมพิวเตอร์เป็นรูปอะไร
>การ์ตูนรูปนกเพนกวินสามตัว ปิดปาก ปิดหู ปิดตา

10. สถานที่ที่อยากไปมากที่สุด
> กลางใจเธอ

11. คำพูดติดปากที่พูดประจำเลย
> เฮ้ย...

12. บอกสเปกหนุ่ม หรือสาวในอุดมคติ
> ยังไงก็ได้ "เข้า"กันได้ก็พอ

13. มีโทรศัพท์ถึงคุณกี่ครั้งใน 1 วัน
> เกินห้า

14. ใครโทรหาบ่อยที่สุด
> น้องสาว

15. ตั้งเป้าหมายในชีวิตว่าจะเรียนถึงระดับไหน
> วศบ คอมพิวเตอร์ มช.

16.ถ้าถามเรื่องความรัก คิดยังไงกับประโยคที่ว่า "รักคนที่เขารักเราดีกว่า"
>เฉย ๆ

17. เพื่อนเราแอบชอบแฟนเราจะทำยังไง
> แอบชอบเพื่อนเรากลับ

18. ถ้าเลิกกับแฟน อกหักรู้สึกอย่างไร แล้วจะทำยังไง
> เสียใจ ก็คงต้องทำใจ

20. มีเรื่องอะไรไม่สบายใจอยู่ตอนนี้หรือเปล่า
> ขี้เกียจทำงาน (ข้อสิบเก้าหายไปไหน)

21. ถ้าขอพรได้สามข้อ จะขออะไร
> 1.2.3 ขอให้ทุกๆ คนมีความสุข

22. คุณคิดว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไร
> เกิดมาเพื่อสร้างประวัติศาสตร์

23. เลี้ยงรุ่นครั้งต่อไปเมื่อไหร่
> สิงหานี้เจอกัน

24. คิดไงกับเพื่อนที่โรงเรียน หรือมหาลัยเหรอ
> กูรักมึง

25. ฝากอะไรถึงคนที่ส่งถึงคุณไหม
> ทำไมมีชื่อผมอยู่ด้วยอ่ะ

26. ฝากอะไรถึงคนที่คุณจะส่งถึง
> ตอบ ๆ ไปเหอะ ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที

27. คิดว่ามีใครจะตอบไหมอ่ะ
> ยาก

Tuesday, June 13, 2006

เมื่อคืนนอนคอนโดที่นนท์ ออกมา 7 โมงเช้า รถติดดดดดด มากกกกกก สาดดดดด กว่าจะถึง office ก็ 8 โมงครึ่ง
จะกลับลำปางเย็นวันพุธนี้แร้วเว้ย จอง flight 20.30 สยามเฟิสที่วัดเสมียน ดีใจเว้ย หลังจากที่ติดงาน support มานานได้กลับซะที
กลับ กลับคืนสู่ยังรัง ดั่งที่หวังนานมา จะกลับมาหาเธอ ...... เย้เย

เออ ขอแก้ตัวเอ้ยอธิบายชี้แจง ที่เมื่อก่อนที่ชอบไป วิ่งๆๆๆๆ หน้ามอ เพราะมันไม่รู้ทำงัยอ่ะ ตอนนั้นเครียดก็เครียดทำอารายไม่ได้ดั่งใจ ก็เรยเลือกที่จะวิ่ง เผื่อมันจะตามกรูไม่ทัน พอวิ่งแร้วอดีนาลีนหลั่ง โอ้เย้ มันเยี่ยมมากเรยว่ะ มาถึงตอนนี้ไม่ค่อยได้วิ่งแร้ว ร่างกายไม่เฟิมเรย ว่างๆไปวิ่งด้วยกันที่สวนรถไฟนะไอ่เต้

ทำได้แล้วโว้ย....


ในรอบสามเดือนมานี่ วันนี้โต้รุ่งได้แล้ว เริ่มทำงานตั้งแต่สี่ทุ่มแต่ไม่มีสมาธิ
พอถึงตีหนึ่งขอนั่งสมาธิแล้วหลับสักงีบ

ตีสามตื่นมา นั่งทำงานต่อ
แล้วก็

นั่งทำงานต่อ


ตอนนี้ทุ่มนึงแล้ว
ยังไม่ได้นอนเลย

วันนี้ได้ย้ายห้องทำงานอีกแล้วอ่ะ เหนื่อยฉิบ...

ทำไมดวงกูนี่อยู่ที่ไหนก็ต้องย้ายไปย้ายมาอย่างนี้ฟ่ะ
อยู่เมกานี่ย้ายบ้านไปแล้วประมาณห้าหกครั้ง ครับรถกระเตงๆ มาจาก Co สองพันสามร้อยไมล์
แล้วก็ขับรถกระเตง ๆ กลับอีกสองพันสามร้อยไมล์

แค่ที่ทำงานเฉพาะในมหาวิทยาลัยนี้ก็ย้ายมาครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม และเดี๋ยวต้องย้ายกลับวันศุกร์อีกเป็นครั้งที่สี่

วันที่หนึ่ง กค. ย้ายบ้าน ไปอยู่บ้านริมทะเล กับ พี่ พ
สวีท แน่ ๆ มึง

วันนี้ เหนื่อยอ่ะ Present คนเดียวประมาณสามชั่วโมง
สนุกระกำสุด ๆ

พรุ่งนี้จะมาเล่าเรื่องงานวิจัยตามประสาชาวบ้านให้ฟัง

จริง ๆ จะว่าไป...blog นี้มันแปลก ๆ จริงด้วย....ทำไม ไม่เห็นให้มันใส่หัวข้อฟะ (สงสัยมีแต่ "หัวเหน่า" !!! "หัวข้อ" ไม่มี) ถ้าไม่มีหัวข้อ แล้วกรูจะเขียนให้มันได้เรื่องได้ราวยังงัยฟะ

หัวข้อนั้น เปรียบเสมือนเส้น Guideline ในวิชา drawing ทำให้สามารถเขียนแบบได้ง่ายขึ้นฉันใด
หัวข้อก็เปรียบเสมือนเส้น Guideline ในการเขียน blog ฉันนั้น

ถ้าไม่มี อาจจะทำให้เขียน blog ได้ไขว้เขว้ได้...ดังนั้น อยากให้ blog นี้มีหัวข้อ :~






เปิดมาทีไร....เห็นแต่คุณ pC มา post....เจ้าของ blog ไม่เคยได้ post ซักแอะ...แต่ก็ยังดีที่เจ้าของมันยังได้ comments บ้าง

สรุปแล้ว blog นี้มันของใครกันแน่ว่ะ ?!?

พอมาดู comments ยิ่งไม่ค่อยมีคนมาเม้นต์เท่าไหร่เลย...ว่า blog เรามีคนมาเม้นต์น้อย ๆ แล้วนะ...ก็ยังมีคนมาเม้นต์บ้าง
(จริง ๆ แล้ว blog เรา เน้น counter ที่ไม่ใช่ counter brazia นะ นับแต่ทำ counter มาได้แต่กลางเดือน Apr'06 ตอนนี้ทะลุ 2,200+ แล้ว แสดงว่าวัน ๆ หนึ่ง มีคนเปิดดู blog เราเยอะเหมือนกันแฮะ)

ยิ่งพอไปเปิดดู blog เพื่อน ๆ...แต่ละคนเมนต์เยอะโคตร ไม่ว่าจะเป็นคุณหนุงหนิง หรือน้องกริด จริง ๆ แล้วไม่ต้องอะไรหรอก....ขนาด blog ของป๋า พ. ยังมี comments เยอะกว่า blog นี้ซะอีก (ขนาด blog แกไม่มีอะไรโคตร ๆ แล้วนะ)

สงสัย blog นี้จะเป็นขยะของโลก cyber ชิ้นใหม่ขึ้นมา...อย่างที่ pC เคยกล่าวไว้ตอนต้น

(ปล. หนิง กับ กริด ครับ วันนี้ พี่โปรโมต blog น้อง ๆ แล้วนะครับ ขอค่าโฆษณาด้วยจ้า ^0^)

สรุปแล้ว...มีคนอ่านไหมว่ะ blog นี้นี่ นอกจากท่านเจ้าของ blog และ co-editor นี่
ยังมีใครอ่านมันไหมฟ่ะ ?!?

ถ้าไม่มีใครอ่าน...จะได้บ่นให้เต็มที่หน่อย :P

ขอบ่น...วันนี้เป็นวันหยุดของเหล่าบรรดาพนักงานบริษัทใน กทม. และเหล่าข้าราชการทั้งประเทศ
อยู่ดี ๆ ก็มีวันหยุดมาให้เฉย....เกิดเป็นข้าราชการเมืองไทยมันดีอย่างนี้นี่เอง...
พอเห็นแล้ว....ก็เกิดจะอยากจะขอเสียภาษีทุกชนิด (ไม่ว่าจะเป็น ภงด.1 ภงด.3 ภงด.50/53 และภงด.90) เข้า รพ. คนปัญญาอ่อน หรือมูลนิธิเด็กยากไร้ซะยังจะดีกว่า

แต่มันทำไม่ได้...อ่ะ ๆ หยวน ๆ ไปแล้วกัน (นิสัยคนไทยอีกแล้วตู...หยวนตลอด !!!)

วันหยุด วันหยุด วันหยุด....ชาวบ้านเค้าหยุดกันหมด ทำไมตูต้องทำงานด้วยว่ะ?
เจ้า pC มันบอกว่าเหงา ๆ แต่ blog ของตัวเองไม่ยอม up มา up blog ของแจ็คตุ้ยทุกวั๊น ทุกวัน
หรือว่า pC มันจะ "จุ๊กกรู้" แจ็คตุ้ยว่ะ...

อ้าว...แจ๊คเอ้ย เกิดมามีกรรมจริง ๆ ขนาดเพื่อนสนิทยังจะ "จุ๊กกรู" เลย หึ ๆ ๆ

ทำงานตั้งแต่ 10 โมงครึ่ง จนนู้น 5 โมงนิด ๆ ถึงเลิก (จริง ๆ ตื่นแต่ 8 โมงเช้า แล้วไปถึงลูกค้า 10 โมง)
เลยไถพี่เล็กให้เลี้ยง Swensense ฟรีเลย (-/\-)

พูดถึงพี่เล็ก...นี่ก็อีกคน blog ไม่เคย up เลยตั้งแต่เปิดปีมานี่ ไม่รู้มัวทำไรอยู่

ได้อู้งานนิดหนึ่งหล่ะ...นั่งรถกลับ

แต่ไม่ใช่กลับบ้านนะ...กลับมาลูกค้าอีกเจ้า 2 ทุ่ม

มาทำงานต่ออีก....เห้อ เบื่อจริง ๆ ชีวิตตู


พูดถึงเบื่อชีวิต...ทำให้นึกถึงท่านเจ้าของ blog จริง ๆ นอกจากมีการแก้ความเครียดด้วยวิธี "วิ่ง" "วิ่ง" และ "วิ่ง" พร้อมทั้งแก้อาการปวดหัวด้วยการเอา "เคาท์เตอร์เพนท์" มาทาถู ทาถู ที่ขมับ(ด้วยเหตุผล มันหอมดี)

มันเคยบ่น ๆ ว่าเกิดมาเป็นคน มันช่างแสนลำบากนัก...เลือกได้ ขอเกิดเป็นหมาดีกว่า เพราะเห็นหมานอนสบาย ๆ ไม่มีความเครียด ไม่ต้องสอบ static ไม่ต้อง etc.

อีกวันก็บอกว่า เกิดเป็นแมวดีกว่า เพราะท่าจะสบายกว่าหมา วัน ๆ เอาแต่กินอาหารที่คนเอามาให้

และมันเปลี่ยนทุกวันว่า เกิดเป็น ไอ่นี่ ไอ่นั้น ไอ่นู้น สบายกว่า ๆ เรื่อย ๆ

สรุป เกิดเป็นอะไรแล้วสบายว่ะ...

คิดมากไป ก็เยี่ยวเหลือง...สู้ก้มหน้าก้มทำงานไปดีกว่า จะได้พ้นพ้นร้อนซะที

พรุ่งนี้แล้วซินะ...วันแรกของการทำงาน หลังจากหยุดเต็มมา 4 วัน

บ่นพอหล่ะ...เอ้า KAMBUTE !!! สู้โว้ย !!

ปล. pC กรุณาอย่ามา post วันเดียวกันซิ post กันคนละวันจะคนอ่านจะได้ไม่สับสน
มันยิ่งไม่มีหัวข้อให้ refer อยู่

Monday, June 12, 2006

วันที่เหงา.... กับ.. ฉัน คนเดียว...


วันนี้ตื่นตีสี่ว่ะ

ความจริงก็เพิ่งเข้านอนเมื่อตีหนึ่ง ทีแรก ว่าจะนอนสักชั่วโมงแล้วรีบตื่นมาปั่นงานให้เสร็จ
งานมันพอกหางหมูจนหมูจะเป็นริดสีดวง อยู่แล้ว (เกี่ยวกันไหมว่ะ)
เอาเป็นว่างานเหลือเยอะก็แล้วกัน

จนแล้วจนรอดก็นอนไปถึงตีสี่แล้วก็ต้องตื่นขึ้นมาด้วยความสะดุ้ง และเสียงกรนจากพี่ห้องข้างๆ
ตีสี่แล้วหรือว่ะ

จะตื่นมาทำไร
ตื่นมาทำงาน เดี๋ยวคนเขาก็ตื่นกันทั้งบ้าน
จะไปที่โรงเรียนรถไฟฟ้ามันก็ยังไม่ทำงานจะไปได้ไง

เลยไปเอา Paper มานั่งอ่าน นอนอ่าน
แล้วก็หลับต่อ

ตื่นอีกที เจ็ดโมงอืมเจ็ดโมงแล้วเหรอ
ทำไรดีว่ะ


นอนต่อดีกว่า


แปดโมง คนงานก่อสร้างอะไรกันไม่รู้ ตรงหัวนอนพอดี
เครื่องจักรดังหึ่ง ๆ ๆ ๆ


คนจะนอนโว้ย คนจะนอน

พยายามข่มตานอน
ใจก็คิดว่างานก็เหลือเยอะ พยายามเรียงลำดับงานในหัว
หึ่ง ๆๆ ๆ ๆ ๆ


รู้สึกตัวอีกที อ้าวแม่ง
สิบโมงครึ่งแล้ว

ฮา

เป็นการนอนที่ไร้ประสิทธิภาพที่สุด

รีบจัดแจงแต่งตัวไป ไปรษณีย์ เตรียมเรื่อง Visa จะได้กลับเมืองไทย เดือน สค

แล้วก็มาโรงเรียน
กำลังทำงาน

ง่วงโว้ย

ต่อเก้าอี้มานอน

สักพักได้ยินเสียงก๊อก ๆ แก๊ก ๆ ที่ประตู

รีบลุกมาทำท่าอ่านหนังสือ

หัวหน้าโปรแกรมเดินเข้ามาตรวจความเรียบร้อย
พรุ่งนี้ ต้องย้ายที่ทำงาน
ห้องเดิมเขาจะ Renovate แปลว่าปรับปรุงอาคาร

ตื่นได้สักพัก คุยกับหัวหน้าโปรแกรมได้สักหน่อย

อาจารย์ที่ปรึกษาก็เดินเข้ามา

อ้าว มาโรงเรียนด้วยเหรอ
ถ้ารู้ว่าอาจารย์อยู่ ผมไม่มาโรงเรียนหรอก ขี้เกียจคุย


โดย ลากตัวไปคุยงานวิจัยอีกเกือบชั่วโมง
สิบห้านาทีไล่งานว่าทำอะไรถึงไหน

อยากบอกแกจัง ว่า กูไม่เอาเงินแล้วโว้ย ขอกลับบ้านมือเปล่าได้ไหม
ไม่รู้เป็นไร สงสัยเป็นเพราะผมทรงใหม่ของกู
แกมองหน้าแล้วก็ยิ้ม ๆ

งง เดี๋ยวนี้ชอบยิ้มให้กูแปลก ๆ

แล้วก็เปลี่ยนเรื่องไปตั้งชื่อ Paper กันดีกว่า Paper ที่จะส่งวันพุธนี้ชื่ออะไรดีหนอ <- อาจารย์ถาม

จะตั้งชื่อเลยเหรอ ยังไม่ได้เขียนเลยนี่นะ <-- กูคิดในใจ

นั่นแหล่ะคือ สี่สิบห้านาทีที่เหลือ นั่งตั้งชื่อเปเปอร์

กลับห้องมาได้ แม่งหกโมงเย็นแล้ว

วันนี้หมดไปอีกแล้วหนึ่งวัน

รีบทำงานส่งแกนิด ๆ หน่อย ๆ
แล้วก็หนีออกไปกินข้าว

ที่โรงเรียนไม่มีข้าวให้กินหลังหกโมงอ่ะ
เลยตั้งนั่งรถบัสออกไป
ไปต่อรถไฟฟ้า

นั่งไป South Station
แปลเป็นไทยว่า สถานีขนส่งสายใต้ ก็เป็นที่รวมรถไฟและรถบัสสำหรับไปทางใต้ของบอสตั้น

ไปกินอาหารจีน กลางสถานี ดูคนเดินผ่านไปผ่านมา เหงาพิลึก

เสร็จแล้วต่อด้วย เดินไปร้านหนังสือ เดินเลือกอยู่นานมาก

อยากอ่านหนังสืออ่านเล่นภาษาอังกฤษว่ะ เกิดมาไม่เคยอ่านจบ
ขี้คร้าน


เดินเลือกอยู่นานมาก Davici Code ดีไหม จะอ่านรู้เรื่องไหม

เดินไปเดินมา ปวดอึ ก็ไปอึก่อน
แล้วก็กลับมาเลือกหนังสือใหม่

เสร็จแล้วจึงได้เรื่อง
"A Million Little Pieces"

ใครเคยอ่าน Go Ask Alice บ้างยกมึอขึ้น
เรื่องของเด็กสาวติดยา ที่เขียนบันทึกตามกระดาษทิชชู่ กระดาษห่อขนม และไดอารี่
เรื่องเศร้า ๆ อ่ะ ประทับใจสุดเห็นจะเป็นตอนที่ เขาต้องยอมเสียตัวให้กับไอ่มืดแลกยา
น้ำตาซืมเลย

"A Million Little Pieces"
เป็นเรื่องของชายคนหนึ่งที่ติดเหล้าอ่ะ

ท้ายปกเขียนว่า

" At the age of 23, James Frey woke up on a plane to find his front teeth knocked out and his nose broken. Ha had no idea where the plane was headed nor any recollection of the past two weeks. An alcoholic for ten years and a crack addict for three, he checked into a treatrment facility shortly after landing. There he was told he could either stop using or die before he reached age 24. This is Frey's acclaimed account of his six weeks in rehab. "


แปลเป็นไทยว่า "มันเป็นเรื่องของหนุ่มอายุ 23 ปี ชื่อ ไอ้ฟราย บุคคลที่ตื่นขึ้นมาระหว่างการเดินทางบนเครื่องบิน แล้วรู้สึกตัวว่าฟันหน้าหักและจมูกแตกโดยไม่รู้สาเหตุ แต่ไม่ใช่แค่นั้นที่ไม่รู้สาเหตุ เหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนหน้านี้สองสัปดาห์ ไอ่ฟรายก็จำไม่ได้เช่นกัน แม้แต่ว่า เครื่องบินลำนี้จะบินไปไหน มันก็ไม่รู้เช่นกัน นี่เป็นเรื่องของคนติดเหล้ามานานนับสิบปี ในที่สุด ไอ่ฟราย ก็เลยเข้ารับการรักษา หมอบอกว่า ไอ่ฟราย มีทางเลือกแค่สองทาง ไม่หยุดเหล้า ก็ตายในปีอีกปีข้างหน้า หนังสือเล่มนี้นี่แหล่ะรวบรวมชีวิตของ ไอ่ฟราย ในช่วงที่ได้รับการบำบัดหกสัปดาห์หลังจากนั้น"

ข้าง ๆ ข้อความ มีรูป คุณฟราย ติดไว้ด้วย

เมื่ออ่านและดูรูปแล้ว คิดถึงเพื่อน ของเราคนหนึ่ง


ตัดสินใจ ซื้อหน้งสือเล่มนี้มาอ่าน ด้วยเงิน 15 เหรียญ

นั่งรถกลับมาทำงาน ที่มหาวิทยาลัย

คืนนี้ คงไม่ได้นอนอีกตามเคยของคืนวันจันทร์
วันที่วันรุ่งขึ้นจะต้องมีประชุมตอนสิบโมงเช้า

.......

Sunday, June 11, 2006

ความรัก...

ฉันได้เรียนรู้ว่า : รักแรกก็เหมือนฟันน้ำนมที่วันหนึ่งต้องหลุดไปเพื่อรอฟันแท้เข้ามาแทนที่

ฉันได้เรียนรู้ว่า : คนที่รักกันจะเป็นอะไรอื่นไปไม่ได้ นอกจาก...คนที่รักกัน

ฉันได้เรียนรู้ว่า : บางครั้งคนที่รักกัน ก็รักกัน จนโกรธกันไม่ลง

ฉันได้เรียนรู้ว่า : สำหรับคนที่เข้าใจชีวิต...คนที่รักกันก็ทะเลาะกันได้ “แต่สุดท้ายก็ดีกัน”

ฉันได้เรียนรู้ว่า : การที่คนที่รักกันทะเลาะกัน ไม่ได้แปลว่าพวกเค้าไม่มีความสุข

ฉันได้เรียนรู้ว่า : คนที่รักกัน ยังไงก็รักกัน

ฉันได้เรียนรู้ว่า : คำว่า “แฟน” กับคำว่า “รักแท้” คนละคำกัน แต่บางครั้งก็เป็นคำเดียวกัน ถ้าคุณเจอรักแท้กับแฟนของคุณ

ฉันได้เรียนรู้ว่า : คนรักกันไม่จำเป็นต้องคุยกันตลอดเวลา

ฉันได้เรียนรู้ว่า : “ใครๆก็ผิดพลาดได้ในอดีต รวมทั้งคนรักของเรา”

ฉันได้เรียนรู้ว่า : อย่าเสียดายเวลากับรักไม่แท้ ถือเสียว่าเวลาเหล่านั้น เป็นประสบการณ์ชีวิตให้เราค้นพบตัวเองมากขึ้น

ฉันได้เรียนรู้ว่า : ความรักยืนยงต่อไปได้ไม่จบสิ้น ถ้ามีคำว่า “เห็นอกเห็นใจ” กัน

ฉันได้เรียนรู้ว่า : คนที่พูดว่า “ไม่มีใครรักคุณมากกว่าผม” สักวันเค้าอาจทิ้งคุณไป

ฉันได้เรียนรู้ว่า : วิธีตัดสินว่าผู้ชายคนไหนดีที่สุดเห็นจะต้องพึ่งสิ่งเดียว “เวลา”

ฉันได้เรียนรู้ว่า : ไม่จริงที่ผู้ชายน้อยใจไม่เป็น และผู้หญิงขี้น้อยใจกว่าผู้ชายเสมอ

ฉันได้เรียนรู้ว่า : คนที่อยู่ด้วยกันแต่ไม่มีใจให้กัน ท้ายที่สุดก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน

ฉันได้เรียนรู้ว่า : อย่าใช้เหตุผลกับคนรัก แต่ใช้ความเห็นใจกับคนรัก

ฉันได้เรียนรู้ว่า : บางครั้งอารมณ์ที่หงุดหงิดก็หายไปหมดแค่ได้คุยกับคนที่เรารัก

ฉันได้เรียนรู้ว่า : ความรักทำให้โลกสดใส จริงจริง

ฉันได้เรียนรู้ว่า : ผู้ชายต่อสู้เพื่อให้ได้คนที่ตัวเองรักและต้องการ

ฉันได้เรียนรู้ว่า : ถึงคนคนนึงจะดีเท่าไหร่ ตรงสเป็กตามที่เราต้องการเท่าไหร่แต่ยังไงก็ไม่ใช่คนที่เรารัก...ก็เป็นได้แค่คนที่เราได้เจอ แต่ยังไงก็ไม่ใช่คนที่เรารัก

ฉันได้เรียนรู้ว่า : ฉันได้รู้ว่าอย่าลองใจคนรักด้วยการพูดถึงแฟนเก่า ใช่...คุณได้รู้ว่า เค้ารักเรา แต่...เค้าเจ็บ

ฉันได้เรียนรู้ว่า : คนรักถึงเกิดมาเพื่อรักเราแต่บางครั้งก็ไม่ได้เป็น “คนรักสำเร็จรูป” เพราะฉะนั้นบางครั้งไม่อาจได้ดั่งใจเรา ต้องอาศัยการพูดและการปรับตัวเพื่อแก้ไขกัน

ฉันได้เรียนรู้ว่า : เราควรจะมีวิธีบอกคนที่เรารักว่า บางครั้งบางเรื่องยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม

ฉันได้เรียนรู้ว่า : ถ้าเรายังเด็กจะคิดว่าฟันน้ำนม นั้นคือฟันตลอดไปของเรา แต่เมื่อโตขึ้นจะรู้ว่าไม่ใช่ แต่ ณ เวลานั้นเรามักคิดว่า...ใช่

ฉันได้เรียนรู้ว่า : ไม่มีใครอกหักแล้วไม่เจ็บ เหมือนถอนฟัน แต่วันหนึ่งก็หาย แต่หายแล้วจะเป็นยังไงต่อ ค่อยว่ากัน

ฉันได้เรียนรู้ว่า : มนุษย์เราต้องการความอบอุ่นและครอบครัว หลายคนเมื่อขาดตรงนี้พยายามหาสิ่งอื่นมาชดเชย แต่จะพบว่ามันชดเชยกันไม่ได้ เพราะเป็นคนละเรื่องกัน

ฉันได้เรียนรู้ว่า : ถ่านไฟเก่าจะเกิดได้กับคนที่เลิกกันเพราะไม่เข้าใจกันแต่ยังรักกัน แต่สำหรับคนที่เค้าเลิกกัน เพราะไม่รักกัน...”ถ่านไฟดับ”

ฉันได้เรียนรู้ว่า : ...ดีแล้วที่เราได้เลิกกับคนที่เราไม่แน่ใจมาตลอด เมื่อแผลหาย เราจะรู้ว่า เราทำถูกที่สุด... รึป่าว

ฉันได้เรียนรู้ว่า : ความรักเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในชีวิตได้จริงจริง

ฉันได้เรียนรู้ว่า : ความรัก...มันมีอยู่จริง

ฉันได้เรียนรู้ว่า : ความรักเหมือนความสวย ซึ่งพระเจ้าไม่ได้ประทานมาให้คนทุกคน

ฉันได้เรียนรู้ว่า : สุดท้าย...รักก็คือรัก...ไม่รักก็คือไม่รัก

ฉันได้เรียนรู้ว่า :ถ้ายังไม่รู้ว่าคุณต้องการใคร มิวิธีพิสูจน์ “เวลา”

ฉันได้เรียนรู้ว่า : คนที่ไม่พูดว่า “หึง” ไม่ได้แปลว่า “ไม่หึง”

ฉันได้เรียนรู้ว่า : ผู้ชายบางคนไปจีบผู้หญิงอื่น เพียงเพื่อประชดแฟนตัวเอง ไม่ใช่เพราะชอบจริงๆ ผู้หญิงหลายก็เป็นแบบนี้

ฉันได้เรียนรู้ว่า : ถ้ารักกันต้องคุยกันการคุยกันอย่างเปิดเผย ทำให้ไม่ระแวงกัน นั้นแหละดีที่สุด


ฉันได้เรียนรู้ว่า : บทสรุปของความรักไม่ใช่การแต่งงาน นั้นเป็นตอนจบของละครเรื่องนึง แต่บทสรุปของความรักคือ

“การที่เราสองคนได้ใช้ชีวิตร่วมกัน เติมเต็มกันและกัน ชั่วชีวิตของเรา”...

blog ที่มีมันแปลกอย่างนึงนะ

มันไม่ยอมให้ใส่หัวข้อ

ก็ดี คนอ่านก็ตั้งใจอ่านจนจบก็แล้วกันว่ามันเป็นเรื่องอะไร

การไม่ใส่หัวข้อเรื่องก็ดีอย่างนึงนะ ทำให้เขียนไปได้เรื่อย ๆ นึกอยากจะเขียนอะไรก็เขียน
ไม่ต้องมี theme หรือไม่ต้องคิดมากดี ว่าจะเขียนยังไงให้เกี่ยวกับหัวข้อ


วันนี้ ก็ทำงานไม่ได้อีกแล้ว ทั้งที่มีเปเปอร์อยู่สามฉบับต้องส่งวันพุธ
ก็ตั้งใจไว้แล้วนี่ ว่าวันอาทิตย์จะหยุด จะทำอะไรที่อยากทำบ้าง


แปลกแต่จริง นอนได้นอนดี และออกไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ


เพราะมีน้องคนนึงต้องกลับเมืองไทย ก็เอาว่ะ ไปกินฉลองกันหน่อย เดี๋ยวน้องเขาก็กลับแล้ว

ถ้าเป็นเมื่อก่อน คงไม่ยอมออกไปไหนนั่งทำงานอยู่บ้านท่าเดียว
และบางทีก็ไม่ได้งานเพราะขี้เกียจ กลายเป็นว่า งานก็ไม่ได้ เพื่อนก็ไม่ได้อีก


อืม คราวนี้เลย ไม่สนใจแล้วโว้ย ออกไปลาน้องเขาหน่อยดีกว่า

เอ่อ.... อยู่นี่มีเรื่องแปลกอีกอย่าง ถ้ามีน้องสาว ๆ มารู้จักด้วย
กูจะบอกแนะนำตัว แล้วใช้ สรรพนาม แทนตัวเองว่า เรา หรือ ผม
แล้วเรียกเขาด้วยชื่อ เฉย ๆ ทำให้คบกันเหมือนเพื่อนมาก

ไม่ใช้คำว่า "พี่"

น้อง ๆ เขามาก็จะไหว้พี่เจอร์ ไหว้พี่พฤษภ์
ส่วนกูเขาก็เฉย ๆ โบกไม้โบกมือนิดหน่อยเป็นธรรมเนียม


แปลกดี เหมือนกัน เคยมีคนถามว่าทำไมไม่เรียกตัวเองว่าพี่หล่ะ
ตอบเขาไปว่า ไม่อยากเป็นพี่ ขี้เกียจไปดูแล

ความจริงในใจอาจจะคิดว่า ไม่อยากเป็นพี่โว้ย เผื่อจะได้จีบ

ฮา

ก็เหมือนกันกับเรื่องที่ ไม่ชอบให้คนนอกครอบครัว เรียกชื่อเล่นจริง ๆ ว่า เอก นั่นแหล่ะ
แต่ ยัยน้องสาวตัวดี ดันไปบอกเพื่อน ๆ ว่า นี่อ่ะ พี่เอก
เพราะในกลุ่มมีคน ชื่อ แพท เพชร เป็ก ...
ยิ่งพอแนะนำให้ฝรั่งรู้จัก ไม่แยกไม่ได้ มันเรียก pat หมดทุกคน

กูเลยต้องกลายเป็น คนชื่อเอก ในกลุ่มเพื่อนของน้องสาวไปโดยปริยาย
ฟังแล้ว จั๊กกะเดียม ยังไงบอกไม่ถูก



ส่วนงานฉลองวันนี้
ก็ร่ำลากันไปแล้ว น้องเขาก็คงจะกลับเมืองไทยอีกประมาณสองสัปดาห์ข้างหน้า
ดูมีความหวังดี อายุไม่เท่าไหร่เองจะจบเอกแล้ว เก่งนะ



เห็นแล้ว อยากกลับบ้านบ้างจัง



จะได้มีคนเรียก เอก อย่างไม่ต้องจั๊กกระเดียม อย่างนี้

Saturday, June 10, 2006

อ้าว ตามกันมาเจออีกแล้ว

ว้า

ไม่เป็นไร เอา concept เหมือนเดิม

ความจริงจะมีเรื่องระบายมากมาย

เรียนจบแล้ว ก็ไม่รู้ไปไหน
สาว ๆ ก็ไม่รู้จะเอายังไงดี

อยากมีลูก แต่ขี้เกียจเลี้ยง

อยากทำงานศิลป์ แต่ไม่มีอารมณ์


แม่ง...


ช่วงนี้มีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตเยอะมาก

เดือนก่อน ก่อนสอบ thesis เครียดมาก
เลยซื้อ CD สะกดจิตตัวเองมา

เพื่อบอกตัวเองว่า อย่าเครียด อย่าเครียด

และให้มีความเชื่อมั่นในตัวเอง

http://www.frederickwinters.com/


ลองเข้าไปดูนะครับ
คนนี้ใช้ได้ รับรองสะกดจิตแล้วคุณไม่ตืนมาคิดว่าตัวเองเป็นไก่ แน่นอน


เขาบอกว่า

ชีวิตคนเรานั้น ถ้ามีสิ่งใหม่ ๆ เข้ามา
อย่างเช่น มีรถใหม่ มีบ้านใหม่ มีคอมพิวเตอร์ใหม่

หรือ มีแฟนใหม่

จะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 28 วัน ในการจะทำให้ตัวเองชิน (used to it)

ไอ่ cd สะกดจิตนี่ก็เหมือนกัน
ประมาณ สามสิบนาที ที่เราจะต้องนั่งฟังการสะกดจิตต่อวัน

และจะต้องทำ อย่างน้อย 28 วัน ถึงจะเปลี่ยนตัวเองได้


ตอนนี้คงผ่านเกิน 28 วันไปแล้ว



สิ่งที่ได้มาก็คือ

กูทำงานโต้รุ่งไม่ได้แล้ว


สี่ทุ่มแล้วก็ง่วง
ต้องหลับ

ส่วนกลางวัน ก็ทำงานนะ
แต่ทำได้ช้ากว่าเก่ามาก ๆเลย


แม่ง ไม่เครียด


ชาชินไปแล้ว


ส่งรูปไปให้อ้อยดู

อ้อยบอกว่า ทำไมหน้าตาโทรม ๆ
สงสัยว่า ไอ่ช่วง สามสิบนาทีที่โดนสะกดจิต

มันต้องสะกดจิตให้ไปทำงานอะไรสักอย่างให้มันแน่ ๆ เลย

ถึงได้ดูเหนื่อยขนาดนี้


อ้าว


ตกลงมันดีไหมว่ะ

ว่า แล้วก็ไปสะกดจิตตัวเองอีกรอบดีกว่า

ในที่สุด ก็ได้เข้ามาเป็น Co-editor ของ blog นี้แล้ว....


วันนี้ ท่านแจ็คตุ้ย เจ้าของ blog แห่งนี้ได้ add กระผม เข้ามา เป็น co-editor หลังจากได้ add คุณ pC เข้ามาแสดงความเกย์ใน blog แห่งนี้แล้ว

กระผมเองก็เป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของคุณเจ้าของ blog ยังไม่ทราบเลยว่ามันมี blog สองแห่ง คือที่ MyBlog-MyLife-MyTrip และอีกที่คือ ที่นี่ The First Chapter แต่อยากที่คุณ pC บอกตั้งแต่เปิดตัว blog นี้มา เจ้าของ blog ไม่เคยเขียนอะไรเลย มีแต่เหล้าโคทั้งหลาย (co-editor) มาช่วยกันเขียน...

สำหรับ concept ของ blog แห่งนี้นะ...เจ้าตัวยังไม่รู้เลยว่า blog นี้จะวาง concept อย่างไร? ก็คงเอาตาม blog แรกที่ post เข้ามาแหละ นั้นคือ blog นี้จะเป็น blog Hardcore ตามสไตล์เก่าๆ ของเจ้าของ blog (ที่เดี๋ยวนี้ เค้าพร้อมจะเป็นเจ้าบ่าวแล้ว เค้าเลิก hardcore แล้ว...แถมทำตัวหวานแหววอีกต่างหาก) เรื่องที่จะ post คงจะหลุดโลกพอสมควร เพื่อระบายอารมณ์คนเขียน และได้ซะใจคนอ่าน...อ่านแล้วอย่าลืม comment บ้างนะ จะได้รู้ว่า คุณได้เข้ามาอ่าน blog นี้แล้ว...

แหม...ไหว้ครูซะนานเลย เนื้อหายังไม่ได้เลย แต่ถามเรื่อง "ขึ้นครู" โปรดถามเจ้าของ blog เองนะครับ (ได้ข่าวว่าตอนนั้น ฟรีด้วย เพราะเพื่อน ๆ ออกเงินให้ อิ ๆ ๆ)

สำหรับผมแล้ว ผมคงไม่มีเรื่อง hardcore อะไรมาเขียนเหมือนคุณ pC เค้าหรอก เรื่อง hardcore สุด ๆ ของผมก็คงเป็นเรื่องด่าไอ้บริษัทหน้าด้านที่ชื่อ Beyond Innovation (อ่านว่า บ. บียอนด์ อินโนเวชั่น จก.) ที่ชอบหลอกแ-กชาวบ้านไปเรื่อย ๆ ซึ่งอันเป็นนิสัย (จริง ๆ เค้าเรียกว่า "สันดาน" มากกว่า) ของท่านเจ้าของบริษัทฯ ทั้งสองคือ เจ้าป้าหน้าด้าน และเฮียอ้วนเตี้ย Bandit ก็เรื่องที่ด่า ๆ ไอ่บริษัทนี้ นอกจากใน blog ผมแล้ว ก็คงเอามาด่าลง blog นี้ด้วย จะเหมือนช่วยกันด่าเยอะ ๆ เวลา search ใน google หุ ๆ ๆ

ก็เอาเป็นว่า...วันนี้ ฉลองการเป็น co-editor ของ blog นี้ ไว้วันหลังนึกเรื่อง "หลุดโลกแบบ hardcore" ออก....จะมา post ให้อีกทีแล้วกันนะจ๊ะ...